52010915104g4
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555
โลกร้อนทำธารน้ำแข็งละลายหนัก ยอดเขา “ เอเวอเรสต์ ” อันตราย
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555
กินอย่างไรช่วยลดภาวะโลกร้อน
ภาวะโลกร้อน กับ โรงเรียน
ผลพวงจากภาวะโลกร้อนยังเดินหน้าทำลายพื้นที่หนาวเย็นต่อไป โดยล่าสุดสหประชาชาติอาจยกชื่อ “ยอดเขาเอเวอเรสต์” ในเทือกเขาหิมาลัยเข้าไปอยู่ในบัญชี “อันตราย”
โครงการ “มิตรของโลก” หรือ “เฟรนด์ส ออฟ ดิเอิร์ธ” (Friends of the Earth) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อังกฤษ เปิดเผยว่า การละลายของหิมะ จนกลายเป็นกระแสธารน้ำแข็งบน “เอเวอเรสต์” ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ในเทือกเขาหิมาลัย นอกจากจะมากพอจนเกือบสร้างทะเลสาบหิมาลัยได้แล้ว อาจจะสร้างน้ำท่วมบ่าเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต และทำลายสิ่งแวดล้อมอันเป็นลักษณะเฉพาะของธรรมชาติแถบนั้น
อย่างไรก็ดี ทางกลุ่มมิตรโลกจะอ้อนวอนให้คณะกรรมการมรดกโลก ยูเนสโกแห่งสหประชาชาติ (U.N.'s World Heritage Committee) ในปารีส พร้อมด้วยนักปีนเขาผู้พิชิตยอดสูงสุดของเอเวอเรสต์ เช่น ไรน์โฮลด์ มาสเนอร์ (Reinhold Messner) ให้ช่วยกันสังเกตการณ์ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
”ยอดเขาเอเวอเรสต์เป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังแห่งธรรมชาติของโลก ไม่ใช่แค่เพียงในเนปาล แต่ถ้าเอเวอเรสต์ถูกทำร้ายด้วยภาวะโลกร้อน พวกเราก็จะเริ่มตระหนักทันทีว่านี่เป็นสถานการณ์ที่อันตรายต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่ง” ปรากาช ชาร์มา (Prakash Sharma) ผู้อำนวยการโครงการมิตรของโลกในเนปาลเผย
สถานการณ์โลกร้อนกำลังหนักขึ้นทุกขณะ หลังจากมีปริมาณก๊าซต่างๆ แพร่เข้าสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้น โดยเฉพาะ “คาร์บอน ไดออกไซด์” ตัวการหลักในการทำร้ายสภาพภูมิอากาศทั่วโลก ซึ่งการละลายของธารน้ำแข็งเป็นสัญญาณแรกๆ ที่บอกแก่ชาวโลกว่ากาลอากาศเริ่มเปลี่ยน โดยอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ
ทางด้าน เพมบา ดอร์เจ เชอร์ปา (Pemba Dorje Sherpa) ผู้ซึ่งใช้เวลาน้อยที่สุดในการปีสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์ เปิดเผยว่า หิมะและน้ำแข็งที่เกาะอยู่ตามแนวเขาลดน้อยลงทุกขณะ ซึ่งทำให้เอเวอเรสต์มีความงามทางธรรมชาติลดลง และถ้าสิ่งเหล่านี้หมดไป ก็จะไม่เหลืออะไรไว้ให้เด็กๆ ของเราอีกต่อไป
วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555
ทำไมแกนโลกจึงเอียง
วิกฤติการณ์ของโลก
การเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่
อ้างอิง
วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555
ภาวะโลกร้อน >>> ระเบิดเวลาทำลายโลก
- อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะใน 2-3 ทศวรรษหลัง
- ภาวะอากาศแปรปรวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น คลื่นความร้อนพายุ และการเกิดไฟป่า
- จำนวนพายุเฮนริเคนระดับ 4 และ 5 เพิ่มขึ้นสองเท่า ในสามสิบปีที่ผ่านมา
- เกิดโรคภัยต่างๆขึ้นผิดปกติจากที่เคยเป็นเช่นการระบาดของโรคไข้เลือดออกในไทยซึ่งจากเดิมระบาดสองปีครั้งกลายเป็นปีละครั้ง และ เชื้อมาลาเรียได้แพร่กระจายไปในที่สูงขึ้น แม้แต่ใน Columbian, Andes ที่สูง 7000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล เป็นต้น
- สัตว์ต่างๆ หลายสปีชี่ส์กำลังตอบสนองต่อภาวะโลกร้อนโดยพยายามย้ายถิ่นที่อยู่ หรือ อาจสูญพันธ์ได้
- ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นมากกว่า 6-8 เมตร จากการละลายหายไปของพื้นน้ำแข็งในเขตกรีนแลนด์และแอนตาร์คติกา ซึ่งจะกลืนกินพื้นที่ชายฝั่งทั่วโลก
วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555
วันสิ้นโลก2012 วันสิ้นโลกจริงหรื
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ มีการค้นพบหลักฐานทำนายวันสิ้นโลกของชนเผ่ามายาอันแรก ไม่ไกลกันจากพื้นที่ทอร์ทูกัวโร(พื้นที่ของชนเผ่ามายา) ในรัฐตาบัสโก ที่ระบุวันที่เดียวกันบนศิลาจารึกแท่งหนึ่ง โดยข้อความที่พบในทอร์ทูกัวโรระบุว่า โลกจะถึงจุดจบหรือจะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงโลกครั้งใหญ่ ในเดือนธันวาคม 2012 อันเกี่ยวข้องกับเทพโบลอนยกเต เทพแห่งสงคราม และการสร้างสรรค์
แต่ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่า การแปลภาษาบนแท่นศิลาจารึกมีความคลาดเคลื่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่จากสถาบันประวัติศาสตร์ และโบราณคดีของเม็กซิโก พูดมานานแล้วว่าความตื่นกลัวนี้คือการแปลความหมายแบบผิดๆ คิดไปเองของชาวตะวันตกต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น ณ จุดจบของวงจรปฏิทินของชาวมายา
อย่างไรก็ตามคำแถลงนี้ก็ไม่อาจกลบกระแสความกังวลที่พุ่งสูงได้ เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านชนเผ่ามายาราว 60 คนจะเดินทางไปยังสถานที่ที่พบศิลาจารึก เพื่อหาของสงสัยเกี่ยวกับจุดจบของยุคหนึ่ง และจุดเริ่มต้นของอีกยุค
วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555
จากปัญหาภาวะโลกร้อน อะไรกำลังจะเกิดขึ้นตามมา ?
- ผลพวงจากภาวะโลกร้อนยังเดินหน้าทำลายพื้นที่หนาวเย็นต่อไป โดยล่าสุดสหประชาชาติอาจยกชื่อ “ยอดเขาเอเวอเรสต์” ในเทือกเขาหิมาลัยเข้าไปอยู่ในบัญชี “อันตราย”
- โครงการ “มิตรของโลก” หรือ “เฟรนด์ส ออฟ ดิเอิร์ธ” (Friends of the Earth) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อังกฤษ เปิดเผยว่า การละลายของหิมะ จนกลายเป็นกระแสธารน้ำแข็งบน “เอเวอเรสต์” ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ในเทือกเขาหิมาลัย นอกจากจะมากพอจนเกือบสร้างทะเลสาบหิมาลัยได้แล้ว อาจจะสร้างน้ำท่วมบ่าเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต และทำลายสิ่งแวดล้อมอันเป็นลักษณะเฉพาะของธรรมชาติแถบนั้น
- อย่างไรก็ดี ทางกลุ่มมิตรโลกจะอ้อนวอนให้คณะกรรมการมรดกโลก ยูเนสโกแห่งสหประชาชาติ (U.N.'s World Heritage Committee) ในปารีส พร้อมด้วยนักปีนเขาผู้พิชิตยอดสูงสุดของเอเวอเรสต์ เช่น ไรน์โฮลด์ มาสเนอร์ (Reinhold Messner) ให้ช่วยกันสังเกตการณ์ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
- ”ยอดเขาเอเวอเรสต์เป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังแห่งธรรมชาติของโลก ไม่ใช่แค่เพียงในเนปาล แต่ถ้าเอเวอเรสต์ถูกทำร้ายด้วยภาวะโลกร้อน พวกเราก็จะเริ่มตระหนักทันทีว่านี่เป็นสถานการณ์ที่อันตรายต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่ง” ปรากาช ชาร์มา (Prakash Sharma) ผู้อำนวยการโครงการมิตรของโลกในเนปาลเผย
- สถานการณ์โลกร้อนกำลังหนักขึ้นทุกขณะ หลังจากมีปริมาณก๊าซต่างๆ แพร่เข้าสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้น โดยเฉพาะ “คาร์บอน ไดออกไซด์” ตัวการหลักในการทำร้ายสภาพภูมิอากาศทั่วโลก ซึ่งการละลายของธารน้ำแข็งเป็นสัญญาณแรกๆ ที่บอกแก่ชาวโลกว่ากาลอากาศเริ่มเปลี่ยน โดยอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ
- ทางด้าน เพมบา ดอร์เจ เชอร์ปา (Pemba Dorje Sherpa) ผู้ซึ่งใช้เวลาน้อยที่สุดในการปีสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์ เปิดเผยว่า หิมะและน้ำแข็งที่เกาะอยู่ตามแนวเขาลดน้อยลงทุกขณะ ซึ่งทำให้เอเวอเรสต์มีความงามทางธรรมชาติลดลง และถ้าสิ่งเหล่านี้หมดไป ก็จะไม่เหลืออะไรไว้ให้เด็กๆ ของเราอีกต่อไป
อิทธิพลของดวงอาทิตย์ที่ทีต่อโลก
ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของสุริยะจักรวาล โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ซึ่งเป็นบริวารของดวงอาทิตย์ดวงอาทิตย์มีอิทธิพลต่อโลกและความเป็นอยู่ของมนุษย์มาก ที่สำคัญ ๆ คือ ดวงอาทิตย์ทำให้สภาพภูมิศาสตร์ของโลกแตกต่างกันคือ เขตร้อน เขตอบอุ่นเขตหนาว ดวงอาทิตย์ทำให้เกิดการหมุนเวียนของกระแสอากาศที่สำคัญคือ ลม การหมุนเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทร คือกระแสน้ำอุ่น กระแสน้ำเย็น นอกจากนั้น ดวงอาทิตย์ทำให้เกิดวัฎจักรของน้ำซึ่งมีผลต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม ดวงอาทิตย์นอกจากจะให้แสงสว่างแก่โลกเราแล้วยังกระจายรังสีออกมาด้วย ซึ่งมีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต อิทธิพลของดวงอาทิตย์ต่อโลกเรานั้น มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ดวงอาทิตย์ทำให้สภาพภูมิอากาศของโลกแตกต่างกัน เขตต่างๆ ของโลกที่สำคัญๆ คือเขตร้อน เขตอบอุ่น และเขตหนาว เพราะเขตร้อนได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ที่มีระยะทางสั้นที่สุด จึงทำให้ร้อนที่สุด ส่วนเขตอบอุ่น เขตหนาว ระยะของแสงจะยาวขึ้นไปตามลำดับ
ดวงอาทิตย์ทำให้เกิดการหมุนเวียนของกระแสอากาศ ในเวลาเดียวกัน แต่ละเขตแต่ละถิ่นจะได้รับแสงอาทิตย์ไม่เท่ากันและระบายความร้อนไม่เท่ากัน เมื่ออากาศ ณ ที่แห่งหนึ่งได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์จะมีคุณสมบัติเบาขยายตัวลอยสูงขึ้น ณ ที่อีกแห่งหนึ่งมวลอากาศเย็น ซึ่งมีความหนาแน่นมากกว่าเคลื่อนตัวเข้ามาแทนที่ ขณะที่มวลอากาศที่เย็นกว่าเคลื่อนตัวมาแทนที่ เราเรียกว่า “ลม” หรือการหมุนเวียนของกระแสอากาศ และแต่ละแห่งของโลกจะมีอุณหภูมิแตกต่างกันตามเขตร้อน เขตอบอุ่น เขตหนาว จะมีลมประจำปีคือ ลมมรสุม ลมตะวันตก ลมขั้วโลก ตามสถานที่เฉพาะถิ่นจะมีลมบก ลมทะเล ลมว่าว ลมตะเภา เป็นต้น แต่ลมภูเขา ลมบก ลมทะเล เกิดจากการรับความร้อนและการคายความร้อนไม่เท่ากัน คุณสมบัติของน้ำจะรับความร้อนช้าคายความร้อนเร็ว คุณสมบัติของดินจะรับความร้อนเร็วกว่าน้ำคายความร้อนช้ากว่าน้ำคุณสมบัติของหินภูเขา จะรับความร้อนเร็วกว่าดินคายความร้อนเร็วกว่า
การหมุนเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทร เกิดจากอิทธิพลของลมและอิทธิพลของการรับความร้อนมากน้อยของกระแสน้ำในมหาสมุทรจะทำให้เกิดกระแสน้ำเย็นไหลมายังเขตอบอุ่นและเขตร้อน และกระแสน้ำร้อนไหลจากเขตร้อนไปยังเขตอากาศเย็น เช่น กระแสน้ำอุ่นกัลฟสตรีม กระแสน้ำเย็นแลบราดอร์ เป็นต้น
ดวงอาทิตย์ทำให้เกิดวัฏจักรของน้ำ วัฏจักรของน้ำทำให้เกิดชีวิตเกิดฝน เกิดเมฆหมอก หยาดน้ำค้าง ไอน้ำในบรรยากาศ หรืออาจกล่าวได้ว่า วัฏจักรของน้ำทำให้เกิดชีวิตและสิ่งแวดล้อม วัฏจักรของน้ำเกิดจาก ขณะที่บรรยากาศร้อยขยายตัวลอยขึ้นเบื้องบนพาไอน้ำไปด้วย และในเงื่อนไขของอุณหภูมิที่ต่าง ๆ กัน รวมทั้งสถานการณ์สิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น ลมกระแสอากาศ จึงทำให้เกิดเมฆฝน พายุฝนฟ้าคะนอง ลูกเห็บ
รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ รังสีอัลตราไวโอเลตเป็นรังสีที่ทำอันตรายต่อมนุษย์ เช่นโรคต้อกระจก โรคภูมิแพ้ ผิวหนังที่ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตนาน ๆ อาจเป็นมะเร็งได้ ในบรรยากาศมีชั้นโอโซน (Ozone) ประกอบด้วยออกซิเจน 2 อะตอม (O+O) ชั้นโอโซนจะมีความหนาพอสมควร ทำหน้าที่รับรังสีอัลตราไวโอเลตไว้ รังสีที่เหลือลงมายังโลกมีเพียงส่วนน้อยไม่ทำอันตรายต่อมนุษย์
สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (Cholo Fluorocabons) หรือซีเอฟซี (CFC)เป็นสารที่มนุษย์ใช้เกี่ยวข้องกับเครื่องทำความเย็นและโฟม สารเฮลโรน (Halons) ซึ่งมีธาตุจำพวกคลอรีน (Cl) โบรมีน (Br) สารไนตรัสออกไซด์สารเหล่านี้มนุษย์มีส่วนทำให้เกิดมากขึ้นในบรรยากาศ มีผลทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ทำลายชั้นโอโซนทำให้ชั้นโอโซนบางลงและเมื่อชั้นโอโซนบางลงทำให้รังสีอัลตราไวโอเลตทะลุผ่านมายังผิวโลกได้มาก ผลคืออุณหภูมิโลกร้อนขึ้นจึงเกิดอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ
วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555
การทับถมของตะกอนที่เกิดจากการกร่อน
การทับถมของตะกอนที่เกิดจากการกร่อนและพัดพาโดยกระแสน้ำจะถูกทับถมเป็นชั้นๆ มีลักษณะแตกต่างกันไปตามลักษณะพื้นที่ที่กระแสน้ำพัดผ่านไปเช่น
1.เนินตะกอนรูปพัด (Alluvian Fan) เกิดจากการตกตะกอนทับถมของวัตถุที่ถูกน้ำพัดพามาและลำน้ำมีการไหลผ่าน ลงมาจากหุบเขาชัน (Canton) สู่ที่ราบ (Plain) หรือหุบเขาขยายตัวออกไปเป็นบริเวณกว้าง ทำให้การเปลี่ยนระดับของลำน้ำลงอย่างรวดเร็วทำให้ความรุนแรงของกระแสน้ำลดลง เกิดการตกตะกอนทับถมของตะกอนแผ่กระจายเป็นรูปพัดขึ้นมาในบริเวณหุบเขา เนินตะกอนรูปพัดมีรูปร่างคล้ายกรวย (Cone Shape) มีขนาดกว้างใหญ่เป็นดินตะกอนที่ถูกแม่น้ำพัดพามามักพบบริเวณที่ราบเชิงเขาเป็นส่วนมาก